บอกผลกระทบที่เกิดจากการจัดหาเงินทุน

วิเคราะห์ทางเลือกในการจัดหาเงินทุนโดยวิธีก่อหนี้ออกหุ้นบุริมสิทธิ หรือออกหุ้นสามัญ ซึ่งมีผลกระทบกับกำไรต่อหุ้นสามัญ


วิธีการวิเคราะห์ทางเลือกในการจัดหาเงินทุน
65 M3344 แหล่งเงินทุนระยะยาวที่สําคัญของธรกิจ ได้แก่
          ยาวที่สำคัญของธุรกิจ ได้แก่ การกู้ยืมหนี้ระยะยาว การออกหุ้น บุริมสิทธิและการออกหุ้นสามัญ ในการจัดหาเงินทุนมาใช้ในการดําเนินงานของธุรกิจนั้น นอกจากจะคํานึงถึงต้นทุนของเงินทุนและความเสี่ยงทางการเงินแล้ว ต้องจัดหาเงินทุน จากแหล่งเงินทุนที่มีผลทําให้กําไรต่อหุ้นสามัญสงสดด้วย ดังนั้น ในการตัดสินใจเลือกเงินทุน จึงต้องวิเคราะห์ทางเลือกในการจัดหาเงินทุนแต่ละทางก่อน และเลือกทางออกที่ทําให้กําไรต่อหุ้นสามัญมีค่าสูงสุด การวิเคราะห์ทางเลือกในการจัดหาเงินทุนกรณีที่มีหลาย ทางเลือกนั้น วิธีหนึ่งที่สามารถทําได้สะดวกขึ้น คือ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกําไรจากการดําเนินงานกับกําไรต่อหุ้น
(EBIT - EPS Analysis) (Van Horn, 1983: 282) โดยมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 คํานวณหา EPS ณ ระดับ EBIT ต่าง ๆ กันอย่างน้อย 2 ระดับ
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ Indifference Point คือ การวิเคราะห์หาจุดที่ไม่มีความแตกต่างกัน ของทางเลือกในการจัดหาเงินทุนที่ต้องการเปรียบเทียบ ซึ่งสามารถทําได้ 2 วิธี คือ เขียนกราฟ แสดงความสันพันธ์ระหว่าง EPS และ EBIT เรียกว่า Indifference Chart Indifference Point หรือ โดยวิธีคํานวณหาจุด Indifference Point ของทางเลือกนั้น
ขั้นที่ 3 แปลความหมายที่ได้จากขั้นที่ 2 เพื่อตัดสินใจเลือกแหล่งเงินทุนต่อไป
ตัวอย่างที่ 2 โครงสร้างเงินทุนของบริษัทส่งเสริม จํากัด ประกอบด้วย ทุนหุ้นสามัญจดทะเบียน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท ถ้าบริษัทต้องการเงินทุนเพิ่มอีก 300,000 บาท เพื่อขยาย กิจการ ซึ่งได้คาดคะเนทางเลือกในการจัดหาเงินทุนดังกล่าวไว้ 3 ทาง คือ
          ทางเลือกที่ 1 ก่อหนี้ อัตราดอกเบี้ย 1296
          ทางเลือกที่ 2 ออกหุ้นบุริมสิทธิ เงินปันผล 10%
          ทางเลือกที่ 3 ออกหุ้นสามัญ ราคามูลค่าหุ้นละ 100 บาท ปัจจุบันบริษัทเสียภาษีเงินได้ในอัตรา 30% บริษัทควรจัดหาเงินทุนด้วยวิธีใด ถ้าบริษัทมีกําไร จากการดําเนินงาน 100,000 บาท 150,000 บาท และ 200,000 บาท ตามลําดับ

วิธีทำ
   ขั้นที่1  สมมติ EBIT 100,000 และ 150,000 บาท ของทั้งสามทางเลือก ณ ระดับ EBIT 100,000 บาท และ150,000 บาท ดังนี้







คำนวณหาค่า EBIT Indifference Point
 EPS1  เป็นกําไรต่อหุ้นสามัญของทางเลือกที่ 1
 EPS2  เป็นกําไรต่อหุ้นสามัญของทางเลือกที่ 2
 EPS3  เป็นกําไรต่อหุ้นสามัญของทางเลือกที่ 3

 N1   เป็นจํานวนหุ้นสามัญของทางเลือกที่ 1
N2    เป็นจํานวนหุ้นสามัญของทางเลือกที่ 2
 N3   เป็น จํานวนหุ้นสามัญของทางเลือกที่ 3
  I    เป็น ดอกเบี้ยของหนี้สินหรือเงินปันผลจ่ายของหุ้นบุริมสิทธิก่อนภาษี
 T    เป็น อัตราภาษีเงินได้
 EBIT* เป็น กําไรจากการดําเนินงาน ณ Indifference Point
จากกราฟ เส้นทางเลือกก่อหนี้ กับเส้นทางเลือกออกหุ้นบุริมสิทธิขนานกัน
ดังนั้น ทางเลือกที่ 1 กับ ทางเลือกที่ 2 จะไม่มี Indifference Point นั่นคือ
EPS1  EPS2
จากกราฟ เส้นทางเลือกก่อหนี้กับเส้นทางเลือกออกหุ้นสามัญตัดกันที่จุด A ซึ่ง ณ จุดนี้ ค่า EPS ของทั้งสองทางเลือกเท่ากัน ดังนั้น คํานวณค่า Indifference Point ของทางเลือกที่ 1 กับทาง เลือกที่ 3 ได้ดังนี้ EPS
indifference point A จะได้ EPS1 =  EPS3

((EBIT* -I)(1-T))/N1                   =   ((EBIT* -I)(1-T))/N3
((EBIT* -36,00)(1-0.3))/10,000   =   ((EBIT*- 0)(1-0.3))/13,000
13,000 (0.7EBIT*-25,000)           =   10,000(0.7EBIT*)
9,100 EBIT*-327,6000,000          =   7,000 EBIT*
EBIT *                                           =   156,000
ดังนั้น ณ ค่า Indifference Point A ระหว่างทางเลือกที่1 กับทางเลือกที่3 EBIT มีค่าเท่ากับ 156,000 บาท
จากกราฟ เส้นทางเลือกออกของหุ้นหุ้นบุริมสิทธิกับเส้นทางเลือกออกของหุ้นสามัญตัดกันที่จุด B ซึ่ง ณ จุดนี้ ค่า EPS ของทั้งสองทางเลือกมีค่า EPS ของทั้งสองทางเลือกมีค่า EPS เท่ากัน คำนวณ Indifference Point ของทางเลือกที่ 2 กับทางเลือกที่ 3 ดังนี้
Indifference Point B จะได้                   EPS2 = EPS3

(EBIT* -I)(1-t)/n2                                                   =  (EBIT* -I)(1 -t)/ n2
(EBIT* - 42,857.14286)(1- 0.3)/10,000        =  EBIT* -0)(1 – 0.3)/10,000
13,0000(0.7EBIT* - 30,000                           =   10,000(0.7EBIT)
9,100 EBIT* - 390,000,000                           =    7,000 EBIT*
EBIT*                                                             =     185,714.30

ดังนั้น ณ Inference Point B ของทางเลิกที่ 2 กับ ทางเลือกที่ 3 EBIT มีค่าเท่ากับ 185,714 บาท
จุด Indifference Point A แสดงให้เห็นว่า ถ้าบริษัทสามารถทํากําไรจากการดําเนินงาน ได้ถึงระดับ 156,000 บาท แล้ว การจัดหาเงินทุนไม่ว่าจะใช้วิธีกู้หนี้ระยะยาวหรือใช้วิธีออกห้น สามัญ จะทําให้กําไรต่อหุ้นของบริษัทไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าบริษัทสามารถทํากําไรจากการดําเนิน งานได้สูงกว่า 156,000 บาท ก็ควรหาเงินทุนโดยวิธีการก่อหนี้ เพราะจะทําให้ได้ค่า EPS ที่สูง กว่า ในทํานองเดียวกัน ถ้าบริษัทสามารถทํากําไรจากการดําเนินงานได้ต่ํากว่า 156,000 บาท ก็ ควรหาเงินทุนโดยวิธีการออกหุ้นสามัญ เพราะจะทําให้ได้ค่า EPS ที่สูงกว่า จุด Indifference Point B แสดงให้เห็นว่า ถ้าบริษัทสามารถทํากําไรจากการดําเนิน งานได้ถึงระดับ 185,714.30 บาท แล้ว การจัดหาเงินทุนไม่ว่าจะใช้วิธีการออกหุ้นบุริมสิทธิหรือ ใช้วิธีการออกหุ้นสามัญ จะทําให้กําไรต่อหุ้นของบริษัทไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าบริษัทสามารถทํา กําไรจากการดําเนินงานได้สูงกว่า 185,714.30 บาท ก็ควรหาเงินทุนโดยวิธีการออกหุ้นบุริมสิทธิ เพราะจะทําให้ได้ค่า EPS ที่สูงกว่า ในทํานองเดียวกัน ถ้าบริษัทสามารถทํากําไรจากการดําเนิน งานได้ต่ำากว่า 185,714.30 บาท ก็ควรหาเงินทุนโดยวิธีการออกหุ้นสามัญ เพราะจะทําให้ได้ ค่า EPS ที่สูงกว่า นอกจากนี้ การที่เส้นกราฟของทางเลือกที่ 1 (ก่อหนี้) อยู่เหนือเส้นกราฟของ ทางเลือกที่ 2 (ออกหุ้นบุริมสิทธิ) เสมอ แสดงว่า ทางเลือกในการจัดหาเงินทุนระหว่าง 2 วิธีนี้
บริษัทควรเลือกวิธีการก่อหนี้ เพราะไม่ว่าบริษัทจะสามารถทํากําไรจากการดําเนินงานได้ถึงระดับใด ก็ตาม กําไรต่อหุ้น หรือ ค่า EPS ของวิธีก่อหนี้สูงกว่ากําไรต่อหุ้นของวิธีการออกหุ้นบุริมสิทธิเสมอ
จากตารางและจากกราฟ จะเห็นได้ว่า ถ้าบริษัทมีผลกําไรจากการดําเนินงานเท่าเดิม คือ 100,000 บาท หรือมีกําไรจากการดําเนินงาน 150,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าจุด Indifference Point A บริษัทควรจัดหาเงินทุนเพิ่มโดยวิธีออกหุ้นสามัญ เพราะทําให้ได้กําไรต่อหุ้น (EPS) สูงสุด แต่ถ้า บริษัทสามารถทําผลกําไรจากการดําเนินงานได้สูงถึง 200,000 บาท ก็ควรจัดหาเงินทุนเพิ่มด้วย วิธีก่อหนี้ เพราะทําให้ได้กําไรต่อหุ้นสูงสุด
สรุปได้ว่า การที่กิจการใดจะจัดหาเงินทุนจากแหล่งใด ด้วยจํานวนเท่าใดวิธีหนึ่งที่ใช้ประกอบ ในการตัดสินใจก็คือ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง EBIT กับ EPS เมื่อได้ค่า Indifference Point ของทางเลือกเหล่านั้นแล้ว การพิจารณาว่าทางเลือกใดจะเหมาะสมที่สุดสําหรับการจัดหา เงินทุนเพิ่มนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ากิจการจะสามารถทํากําไรจากการดําเนินงานในอนาคตได้ในระดับใด ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้จัดการทางการเงินจะต้องทําการคาดคะเนผลกําไรจากการดําเนินงานของ กิจการก่อน เมื่อกิจการคาดคะเน EBIT ได้แล้ว การตัดสินใจเลือกแหล่งเงินทุนใด ให้พิจารณา จากทางเลือกที่ทําให้ค่า EPS ของกิจการสูงสุด






ที่มา  เพ็ญพิมล ลีโนทัย.  (2558).  การจัดหาเงินลงทุน.  ใน การเงินธุรกิจ.  (หน้า 181).  กรุงเทพฯ :
                ทริปเพิ้ล เอ็ดดูเคชั้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น